ทุกวันนี้ใครๆ ก็สั่งสินค้าออนไลน์กันหมด การสั่งของผ่านหน้าจอและโอนเงินก่อนได้จับสินค้าจริง กลายเป็นพฤติกรรมปกติทั่วไป ไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นอะไร ขอเพียงแค่ผู้ขายมี
ภาพสินค้าที่ชัดเจน
ข้อมูล รายละเอียดสินค้าให้กับลูกค้าอย่างครบถ้วน
เมื่อลูกค้าตกลงซื้อตามราคาที่ผู้ขายตั้งไว้ ก็ได้ถือว่าดีลนั้นเสร็จสิ้นลงเรียบร้อย
ด้วยพฤติกรรมซื้อขายแบบนี้ ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ขอเพียงคุณมีสินค้าที่อยากขาย ต่อให้มีมือถือแค่เครื่องเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องเช่าพื้นที่เปิดหน้าร้านแบบสมัยก่อน ก็สามารถมีธุรกิจ หรือร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเองได้เเล้ว
จริงอยู่ที่ใครๆ ก็สั่งออนไลน์ได้ แต่นี่คือเหตุผล ว่าทำไมคุณควรไปออกอีเวนท์งานน้องหมาบ้าง
Omi-Shopper คือเหตุผลที่คุณควรไปออกบูธงานน้องหมา แล้ว Omi-Shopper คืออะไร ทำไมลูกค้ากลุ่มนี้จึงสำคัญต่อการที่เราจะต้องไปออกอีเวนท์ ไปออกบูธตามงานน้องหมาที่จัดขึ้น
รู้จักนักช้อปกระเป๋าหนัก Omi-Shopper
นักช้อปกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีพลังในการขับเคลื่อนนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้วงการ Ecommerce พัฒนามากขึ้นๆ ทุกปี พฤติกรรมการซื้อสินค้าของเราเรียกง่ายๆ ว่า ROPO คือ
Omi-Shopper จะหาข้อมูลสินค้าและบริการจากสื่อออนไลน์ (RO : Research Online) ก่อนจะไปจับต้องสินค้าจริงๆ ที่หน้าร้าน หรือบูธที่คุณจัดขึ้นตามอีเวนท์ (PO : Purchase Offline)
นักซื้อกลุ่มนี้จะชื่นชอบร้านค้าที่มีแหล่งให้ไปจับต้องสินค้าจริงๆ เพราะต้องการได้เห็น สัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ
เข้าใจพฤติกรรม Omi-Shopper หรือนักช้อปปิ้งทุกช่องทาง
เราทราบกันแล้วว่านักซื้อกลุ่มนี้มีพฤติกรรมในการข้ามไปมา (Cross) ของช่องทางการขายจากออนไลน์ ไปสู่หน้าร้าน แต่จะให้เข้าใจไปมากกว่านี้อีก นั่นก็คือพฤติกรรมในการซื้อที่โดดเด่นของ Omi-Shopper ซึ่งจะค้นหาสินค้าข้ามไปมาทุกช่องทาง ไม่ว่าร้านค้าของคุณจะมี Channel อยู่กี่ช่องทาง อาทิ
Website
Fanpage Facebook
Instagram
Line@
Call Center หรือจะเป็นเบอร์โทรของร้าน
นักซื้อ Omi-Shopper จะทำการข้ามไปมาในทุกช่องทางการสื่อสารของคุณ เช่น อาจจะเริ่มต้นจากการเสริ์ชหาสินค้าในออนไลน์ แต่ก็อาจจะเก็บข้อมูลเงียบๆ หรือถ้าใจร้อนหน่อยจะโทรถาม หรือแชทไปหาทันที แต่อาจจะยังไม่ซื้อ แล้วรอไปดูสินค้าจริงที่หน้าร้าน หรือบูธที่คุณไปออก ซึ่งพฤติกรรมนี้มีความเสี่ยงสูงที่คุณจะขายไม่ได้เพราะ
นักซื้อต้องการเปรียบเทียบความคุ้มค่าก่อนซื้อ ในสินค้าที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัสดุ คุณภาพ ราคาสินค้า หรือแม้แต่โปรโมชั่นที่น่าสนใจต่างๆ
นักซื้อกลุ่มนี้หาข้อมูลสินค้าเก่งมากๆ และค่อนข้างเชื่อถือข้อมูลที่ตัวเองได้ทำการศึกษามา แม้ว่านักซื้อจะเดินทางมาถึงจุดซื้อขายของคุณแล้ว แต่พบว่าสินค้าจริงไม่น่าสนใจมากพอ หรือมีร้านอื่นที่ขายสินค้าเดียวกัน แถมยังมีสิ่งอื่นๆ ดึงดูดให้ซื้อมากกว่า นักซื้อก็จะเดินออกจากร้านค้าทันที ทำให้คุณปิดการขายไม่ได้
สรุปง่ายๆ Omi-Shopper จะมีจุดสังเกตเด่นๆ คือ
หาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการเก่ง
มีความภักดีน้อย (พร้อมจะเดินไปร้านอื่นได้ทันที ถ้าน่าสนใจกว่า)
มีค่าใช้จ่ายต่อการซื้อเยอะ
ไม่จบการซื้อสินค้าในช่องทางเดียว (หาข้อมูลออนไลน์ แต่อยากไปซื้อหน้าร้าน)
กลยุทธ์จับนักซื้อ Omi-Shopper ให้อยู่หมัด
แม้ว่านักซื้อ Omi-Shopper จะเดินทางมาจนถึงหน้าร้านคุณแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะปิดการขายเขาได้ง่ายๆ อย่างที่เรารู้กันดีว่านักซื้อกลุ่มนี้มีความภักดี (Loyalty) ค่อนข้างน้อย สิ่งที่จะทำให้คุณลดความเสี่ยงที่จะปิดการขายให้ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้ ได้แก่
ช่องทางการตอบโต้ลูกค้า (Channel Interact) เป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น Fanpage กล่อง Inbox หรือ Line ไม่ว่าจะช่องทางใดๆ ก็ตาม ควรมีเพื่อใช้ตอบโต้กับนักซื้อกลุ่มนี้ อย่าใช้เป็นช่องทางที่จะโพสต์ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว เพราะหากไม่มีการตอบโต้กับลูกค้า คุณกำลังอยู่ในวงจรของการสื่อสารทางเดียว ที่ไม่สามารถเช็ค Feedbaack ต่างๆ จากว่าที่ลูกค้าได้เลย
ทำให้ทุกๆ การสื่อสารสอดคล้องกัน (Cross Channel) เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มักชอบสื่อสารข้าม Platform เช่น หาข้อมูลจากเบราเซอร์ แต่อาจจะข้ามไปกดปุ่มโทรออก หรือทัก inbox หรือ Line มาสอบถามข้อมูลก่อนสั่งซื้อ แม้กระทั่งสอบถามก่อนเดินทางมาดูสินค้าจริง
จัดโปรโมชั่นปิดการขายในสื่อที่คุณมี (Promotion) เช่น จัดโปรโมชั่นสั่งซื้อผ่านออนไลน์ ลดราคา 30-50% (แล้วแต่คุณตั้งราคา) สำหรับนักซื้อ Omi-Shopper ให้เขาจ่ายเงินให้ได้ จึงค่อยมารับสินค้าจริงที่หน้าร้าน หรือบูธที่คุณไปออก แบบนี้จะลดการที่นักซื้อมาดูของอย่างเดียวแต่ไม่ซื้อได้
ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือ
นักซื้อรู้สึกว่าได้รับการตอบสนอง ( Interact ) ความต้องการอย่างรวดเร็ว (หมายถึงทำให้เขาได้สินค้าที่ต้องการเร็วขึ้น ไม่ใช่ร้านตอบข้อความเร็วเพียงอย่างเดียว)
ได้รับความสะดวกสบาย และความยืดหยุ่นในการสั่งซื้อ
ลดความเสี่ยงของการสูญเสีย Order จากนักซื้อ Omi-Shopper ที่เดินทางมาถึงแล้วไม่ซื้อ
นักซื้อ Omi-Shopper มีเป้าหมายชัดเจนที่จะเดินทางมายังจุดขายของคุณทำให้เกิดจำนวน Traffic เดินทางมายังหน้าร้าน หรือบูธที่คุณไปออกตามเป้า
เมื่อ Traffic มาถึงแล้ว คุณมีโอกาสที่จะขายสินค้าอื่นๆ เพิ่มได้มากขึ้น
Omi-Shopper คือนักช้อปปิ้งทุกช่องทาง ดังนั้นจึงควรทำร้านค้าของคุณให้รองรับพฤติกรรมการซื้อนี้ อย่าชะล่าใจด้วยการมีแค่ร้านค้าออนไน์เพียงอย่างเดียว
"หมาติดเที่ยว" อีก 1 Event น้องหมาที่น่าสนใจ สำหรับคนอยากออกบูธ
นอกจากจะเป็นพื้นที่ให้คุณได้ไปวางขายเสื้อผ้าน้องหมา สินค้า Petshop แล้ว หมาติดเที่ยวยังมีกิมมิคที่น่าสนใจเพื่อดึงดูด Traffic เข้ามาในงาน ทำให้เกิดเป็น Community คนรักน้องหมาที่ได้พาเด็กๆ ที่บ้านออกมาเที่ยวสมกับที่ใช้ชื่อ "หมาติดเที่ยว" อีกด้วย
ทำไมงานหมาติดเที่ยว จึงเหมาะกับผู้ที่ขายสินค้าสัตว์เลี้ยง จะไปเปิดบูธ
คุณสามารถสร้างวงจรการขายสินค้า ให้สอดคล้องกับรอบการจัดงาน และจัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อดึงลูกค้า Omi-Channel ให้เดินทางมาสัมผัสสินค้าคุณในงานได้
คุณมีโอกาสกระตุ้นยอดขาย และสร้าง Awearness ให้ลูกค้าใหม่ๆ ได้รู้จัก คุ้นเคยกับร้านค้าของคุณ รวมถึงเปลี่ยน Traffic เป็น Follower ของร้านคุณได้อีกด้วย
งานมี Theme และกิจกรรมที่น่าสนใจ สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาเรื่อยๆ ทำให้ไม่เกิดความจำเจของบรรยากาศ จึงมี Traffic ที่นอกเหนือจากการที่คุณหาเอง (งานดึงคนมาให้) ทำให้เพิ่มโอกาสในการขายและสร้างลูกค้ากลุ่มใหม่จากภายในงาน
Traffic ที่มางานมักเป็นลูกค้านักซื้อ ที่พร้อมจับจ่ายสินค้าสัตว์เลี้ยงในระดับ Mid-High ที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง
นอกจากการจัด Event สำหรับการขายสินค้า ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ดึงให้ Traffic เดินทางมาร่วมกิจกรรมบ่อยๆ เช่น การเข้าฝูงหมา กิจกรรมต่างๆ ให้น้องหมาได้เข้าประกวด ฯลฯ ซึ่งจุดเด่นตรงนี้จะมี Traffic กลุ่มเดิมหรือแฟนประจำคอยติดตาม "หมาติดเที่ยว" อยู่เรื่อยๆ
เมื่อมีแฟนประจำของงาน ทำให้คุณมีโอกาสสูงที่จะสร้าง Awearness กับลูกค้ากลุ่มเดิมจากงาน "หมาติดเที่ยว" ได้มากขึ้น และสามารถโน้มน้าวให้เกิดการซื้อขายได้ง่ายขึ้น เพราะคุณและ Traffic เริ่มเกิดความคุ้นเคยต่อกัน
หัวใจที่แท้จริง ที่คุณจะได้รับจากการออกบูธขายสินค้าสัตว์เลี้ยง
การออกบูธขายสินค้า ไม่ใช่แค่จะทำให้เพิ่มโอกาสทางการขาย แต่หัวใจหลักของการได้ออกบูธ คือ
การที่คุณได้สัมผัสกับลูกค้าจริงๆ มีโอกาสได้ทำความเข้าใจและศึกษาลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาปรับปรุงร้านค้าและบริการของคุณให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ไม่ว่าการออกบูธแต่ละครั้งจะได้ยอดขายเท่าไรก็ตาม มันคือผลลัพธ์ที่มาจากวิธีการที่คุณเลือกใช้เสมอ เป็นเรื่องปกติที่ครั้งแรกมักจะไม่ได้สวยงาม แต่ถ้าหากคุณศึกษาลูกค้า วางแผนกลยุทธ์ต่างๆ ให้ดีขึ้น และตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ครั้งถัดๆ ไปในการออกบูธของคุณ จะค่อยๆ ออกดอกผลเป็นยอดขายที่น่าชื่นใจ
ไม่มี Event ไหนที่ทำให้คุณสร้างยอดขายได้สมใจ โดยไม่ต้องมีการวางแผนที่ดี และใช้แต่วิธีการขายเดิมๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฝากความหวังด้านยอดขายไว้ที่ผู้จัดงานเพียงอย่างเดียว ถือเป็น Mindset ที่อันตรายมากๆ เพราะความคิดนี้ จะทำให้คุณมองเห็นแต่จำนวนคนเดินภายในงาน จนชะล่าใจที่จะเตรียมตัวไปออกงาน โดยทำแค่โพสต์ลงโซเชียลมีเดียของตัวเอง จัดโปรโมชั่นบ้างนิดหน่อย ที่เหลือคือวุ่นวายกับการจัดเตรียมบูธ
ซึ่งเมื่อคุณใช้เวลาทั้งหมดไปกับข้างต้นที่ได้กล่าวไป คุณจะแทบไม่เหลือเวลาสำหรับการคิดและวางกลยุทธ์เพื่อสร้างและรับมือกับ Traffic เลย และเมื่อไม่เกิด Traffic มายังบูธของคุณ คุณก็จะขายสินค้าได้อย่างไร
หน้าที่ของผู้จัด Event คือทำให้เกิด Traffic มายังงานที่จัด และอำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าร่วมงาน ส่วนการทำให้เกิดยอดขาย คือหน้าที่ของคุณโดยตรง ไม่ใช่ใครอื่น
ดังนั้นงาน Event น้องหมาต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้นตลอดทั้งปี คือโอกาสที่คุณจะได้เข้าไป Join Market และรับ Feedback โดยตรงจากลูกค้า ซึ่ง Feedback นี่แหละที่จะเป็นหางเสือนำไปสู่การพัฒนา ปรับปรุงสินค้าและบริการ รวมไปถึงลับคมกลยุทธ์ในการขายของคุณให้เฉียบแหลมมากยิ่งขึ้นในทุกๆ ครั้งที่คุณได้ออกบูธ
หมายเหตุ**
บทความนี้ Dogby-doo! เขียนขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ทุกคนที่ขายสินค้าสัตว์เลี้ยง ได้ทำความเข้าใจหัวใจที่แท้จริงของการออกบูธขายสินค้าสัตว์เลี้ยง ไม่มีการ Sponsor Tie-in จากผู้จัดงานแต่อย่างใด แต่เรายกตัวอย่างเป็นทีมงาน "หมาติดเที่ยว" เนื่องจากเป็นทีมงานที่จัดงานอย่างต่อเนื่อง และง่ายต่อการติดต่อสำหรับผู้ที่สนใจอยากออกบูธ เพื่อลับคมการขายและเพิ่มยอดขายให้ตนเอง
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามเกี่ยวกับการออกบูธขายสินค้าสัตว์เลี้ยง
กับทีมงานหมาติดเที่ยว สามารถติดต่อได้ที่ Fanpage : https://www.facebook.com/Mhatidtiew/
Call : 097-2896924 (คุณเปิ้ล)
Cradit ภาพประกอบ
תגובות